ว่าจะบันทึกอาการของตัวเองเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำซะที พูดให้ถูกคือไม่กล้าเขียนมากกว่า
เวลาเขียนอะไรที่ต้องขุดความรู้สึกในใจตัวเองออกมา โดยเฉพาะในช่วงนี้แล้ว รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่ากลัวพอ ๆ กับเวลาอาการทรุด
แต่ตอนนี้โอเคแล้วมั้ง
เข้าเดือนที่ 3 ตั้งแต่ไปพบจิตแพทย์และยอมรับตัวเองอย่างเป็นทางการว่าเป็นโรคซึมเศร้า (MDD)
เอาเข้าจริง ตอนที่หมอบอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้านะ กับการสงสัยว่าตัวเองอาจจะเป็นก็ได้มันให้ความรู้สึกต่างกันมากจนรู้สึกประหลาดใจ
การยอมรับตัวเองให้ได้ว่าตัวเองเป็นคนป่วย
ป่วยในระดับที่คล้าย ๆ กับการพิการทั้งที่เข้าใจว่าตัวเองแข็งแรง ปกติมาตลอดชีวิตมันยากมาก
คือ การที่ยอมไปหาหมอก็เพราะถึงระดับที่อาการมันรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว นอนไม่หลับ
ไม่มีสมาธิ ไม่มีแรงจะทำอะไรเลย ถึงขั้นอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องจนทำงานไม่ได้เพราะอ่านประโยคไม่แตกซะที ก็เลยรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ลองไปหาหมอดีกว่า บางทีเราคงต้องกินยาก็ได้
แล้วเราก็จำเป็นต้องกินยาจริง ๆ
เรื่องที่ป่วยก็มีแค่คนในครอบครัวกับเพื่อนที่สนิท ๆ กันเท่านั้นที่รู้
เอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยอยากบอกคนอื่นเท่าไร แต่ก็คิดได้ว่ายิ่งพยายามปิดก็เหมือนกับการไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยนั่นแหละ คนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยคงไม่มีวันหาย
ยังไงซะ มันก็เป็นตัวเราอยู่ดี โรคนี้ก็ไม่ได้แพร่ให้คนอื่นติดเชื้อ บอกไปก็ไม่เป็นไรหรอก
ความเลวร้ายของโรคนี้คือไม่ใช่แค่ซึมเศร้าเฉย ๆ ไม่ทำอะไรแบบที่คนทั่วไปคิด
แต่ในจิตใจมันแย่มาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นก้อนเนื้ออะไรสักอย่าง ในหัวคิดอยู่อย่างเดียวว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากหายตัวไป อยากสลายไปกับอากาศ ยอมทิ้งทุกอย่างที่มีแลกกับการหลุดพ้นจากชีวิต
ไม่ได้อยากฆ่าตัวตายหรอก แค่ไม่อยากมีชีวิตอยู่เฉย ๆ
แต่แค่หลุดปากไปว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่ได้พูดสักคำว่าอยากตายก็ทำให้คนที่บ้านมีสีหน้าหดหู่แล้ว
แล้วเราก็รู้สึกเสียใจที่พูดไปแบบนั้น ดูเหมือนคนเราจะอ่อนไหวกับความตายเอามาก ๆ ตอนนี้ก็เลยพยายามระวังที่จะไม่พูด ต่อให้คิดก็จะไม่พูด
ทำไมรู้สึกเขียนไปแล้วมันหนัก ๆ นะ ขอโทษคนอ่าน ไม่ได้ตั้งใจนะคะ 55555
ช่วงที่ไปหาหมอแรก ๆ สภาพเหมือนผีดิบ ตื่นมาก็คิดว่าตื่นทำไม
รู้สึกหดหู่ทุกทีที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น อยากให้มันเป็นกลางคืนไปตลอดชีวิต
กินยาเข้าไปแล้วก็หงุดหงิดทั้งวันโดยไม่มีสาเหตุ นั่งกินน้ำอยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร้องทำไม แต่ในใจมันรู้สึกอึดอัด อยากตายให้พ้นๆ
กว่าจะปรับตัวกับยาได้ก็ใช้เวลาประมาณอาทิตย์นึง แค่กลับไปนึกถึงช่วงนั้นก็รู้สึกขนลุก…. ; _ ;
สาเหตุที่ทำให้เป็นเราก็ชี้ชัดไม่ได้เหมือนกัน ไม่อยากโทษว่าเป็นความผิดของพ่อแม่หรือของคนอื่น
มัวแต่คิดแบบนั้นมันทำให้เรารู้สึกเหนื่อยเปล่า เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก็ขี้เกียจรื้อฟื้น
ตอนที่รู้สึกว่าตัวเองมีอาการแปลก ๆ ก็สมัยเรียนอยู่ปี 3 ซึ่งช่วงนั้นเรียนหนักมาก ตารางเรียนเยอะมาก งานเยอะมาก เพราะตัวเองทำงานพิเศษด้วย บวกกับความที่กดดันตัวเองว่าต้องสอบชิงทุนญี่ปุ่นให้ได้นะ เพราะถ้าพลาดขึ้นมาจะรู้สึกเกลียดตัวเองมาก
ช่วงวัยนั้นรับความผิดพลาดของตัวเองไม่ค่อยได้เท่าไร ไม่รู้เอานิสัยแบบนี้มาจากไหน
ตอนนั้นเหมือนประสาทตึงเครียดไปเลย นอนไม่หลับบ่อยมาก แต่ก็เข้าใจว่าตัวเองเครียดหลายอย่างเลยไม่คิดอะไร แต่โชคดีที่อยู่หอกับเมทที่เรียนด้วยกันทุกวิชา เลยมีคนคุยอะไรที่เข้าใจกันเองได้ด้วยบ้าง ถ้าอยู่คนเดียวคงเป็นบ้า….
ช่วงไปอยู่ญี่ปุ่นก็อารมณ์เหมือนเด็กหนีปัญหามาก ๆ จนชักไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองสอบทุนครั้งนั้นเพราะอยากหนีจากบ้านหรืออะไรกันแน่ คืออยากไปเรียนที่นั่นอยู่หรอกเพราะอยากเพิ่มสกิลให้ตัวเอง
ช่วงอยู่ที่นู่นก็คิดอย่างเดียวว่าขอห่างจากที่บ้านสักระยะ ไม่คุย ไม่ติดต่อ ไม่อยากได้ยินเสียงแม่เลย
ได้ยินทีไรก็นึกถึงเรื่องที่เค้าทำให้เราเสียใจตลอด ช่วงนั้นฝังใจกับเหตุการณ์นั้นมาก ฝังใจอยู่เป็นปี ๆ
แต่ตอนนี้ก็ปลงได้ล่ะ ไม่อยากอึดอัดใจไปชั่วชีวิต เหนื่อย แล้วพอเค้ารู้ว่าเราป่วยเป็นโรคนี้ปุ๊บ เค้าก็ร้องไห้เหมือนกัน
ค่อย ๆ เรียนรู้ชีวิตทีละนิดละหน่อยว่าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เราต้องการ ต่อให้เราพยายามวางไว้ให้มันสวยแค่ไหน แต่เราก็ควบคุมชีวิตคนอื่นไม่ได้ คุมสิ่งที่เค้ากระทำต่อเราไม่ได้ มีแต่เราต้องหาวิธีรับมือให้อยู่โดยไม่ทำให้มันทำร้ายใจตัวเองมากนัก
ช่วงนี้ก็คิดอะไรทำนองนี้อยู่เรื่อย ๆ
แต่บางครั้งเวลาอาการแย่ก็จะรู้สึกตัวเองไร้ค่ามาก
เหมือนใช้พลังชีวิตหมดไปกับชีวิตการเรียนในมหาลัยหมดแล้ว จบออกมาก็พิการไปทำงานข้างนอกไม่ได้
รู้สึกแย่มาก เกิดมาไม่เคยรู้สึกตัวเองไร้ค่าเท่านี้มาก่อน ทำไมทำถึงคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ก็ไม่รู้
ตอนกินยาแล้วอาการดีขึ้นก็เคยทดลองออกไปเฝ้าร้านที่เป็นกิจการของที่บ้านอยู่อาทิตย์นึง
แต่พอเจอคนเยอะ ๆ ก็อาการแย่ลงอีก (อาจด้วยความที่เดิมทีเป็นมนุษย์ประเภท Introvert)
ดาวน์ดิ่งจนกว่าจะกู้ตัวเองกลับมาได้ก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ตอนนั้นเลยเข้าใจจริง ๆ ว่าโรคซึมเศร้ากว่าจะหายมันคงต้องใช้เวลาจริง ๆ นั่นแหละ จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกเสียใจนะที่ปล่อยให้ตัวเองเป็นหนักขนาดนี้ แต่ไม่อยากคิดในแง่ลบเท่าไร จิตใจเปราะบาง…./)_(\
เอาล่ะ เรามาพูดถึงมนุษย์ที่ชื่อ มัตสึอิ เรนะ กัน
เราจำได้จากที่นักจิตวิทยาคนนึงเคยบอกว่า การขาดพลังชีวิต ขาดความกระตือรือร้น
สามารถช่วยได้ถ้ามองชีวิตคนที่มีเป้าหมาย มีพลัง มีความพยายามอย่างเต็มที่
ความจริง เราก็ไม่ได้ตั้งใจมองหาคนแบบนั้นในชีวิตหรอก
ตอนนั้นจิตใจเราอึมครึมเกินกว่าจะเชื่อคำพูดที่ฟังโลกสวยแบบนั้น ต่อให้มันออกมาจากปากนักจิตวิทยาจริง ๆ ก็เถอะ บวกกับสมัยเรียนเราเชื่ออย่างสุดหัวใจเกี่ยวกับความพยายาม
เรากดดันตัวเองให้พยายาม พยายาม พยายามมาตลอด
แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น จู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองกลายเป็นโรคซึมเศร้า
มันก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนความพยายามหักหลัง
ชีวิตเราก็เลยเนือย ๆ ไปตั้งแต่ตอนนั้น อาจเพราะอาการของโรคด้วย
แต่เราไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งอะไรกับการพยายามใช้ชีวิตอย่างเต็มที่อีกแล้ว
แต่ถ้าให้พูดตามตรง ในส่วนลึกของจิตใจเราก็มีความรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกันมั้ง
อย่างน้อยเราก็เคยมีเป้าหมาย มีความทะเยอทะยาน มีพลัง มีความกระตือรือร้น มีความรู้สึกอยากใช้ชีวิตทุกวันให้เต็มที่
ตอนนี้ก็คิดในทำนองว่า ไหน ๆ ก็ยังตายไม่ได้อยู่แล้ว ก็ใช้ชีวิตที่เหลือให้สนุกหน่อยแล้วกัน
ยังไงก็ดีกว่าอยู่เบื่อโลกไปวัน ๆ ล่ะนะ เรียกว่าเป็นการมองแง่ร้ายในแง่ดีนะ ….อย่างน้อยเราก็คิดแบบนั้น
การที่ตอนนี้เราคิดแบบนั้นได้ ก็เพราะเราก็ได้รู้จักกับมัตสึอิ เรนะ
ไอดอลวงSKE48 เพิ่งประกาศแกรดให้ชาวบ้านช็อคไปไม่กี่วันนี้ แต่ยังโม่ยเด็กไม่เว้นวันให้แฟน ๆ รู้สึกเกลียดหนักมาก
ตั้งแต่เรารู้จักกับเค้า ไอดอลที่บอกว่าตัวเองเป็นโอตาคุ บ้าอนิเมะ คลั่งรถไฟ โลลิค่อนใส่เด็กไม่ไว้หน้า
คนที่บอกว่าตัวเองเป็นหมาป่าเดียวดายไม่มีเพื่อนคบ ชอบทำอะไรโดดเดี่ยว แต่เป็นคนเดียวกับคนที่มีเมมเบอร์บอกรักมากมายในวันที่เค้าประกาศแกรด
ยิ่งเรารู้จักเค้ามากเท่าไร เราก็รู้สึกว่าการมองโลกในเงามืดของเราค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ
อาจเป็นเพราะว่าเรากับเค้าอายุเท่ากัน เกิดเดือนเดียวกัน ปีเดียวกันอีก
พื้นฐานนิสัยคล้ายกัน การมองโลกก็คล้ายกัน ให้ความรู้สึกเหมือนพบเพื่อนสนิทที่มองตาก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่
แต่ต่างกันตรงที่เค้ากำลังพยายามใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกวันของชีวิต
ทุกครั้งที่เห็นเค้า เราก็จะย้อนกลับมาถามตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจทุกทีว่า แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่?
ทำไมเราถึงไม่เคารพชีวิตที่ตัวเองมี? ทำไมถึงปล่อยเวลาให้ไหลไปอย่างสูญเปล่า?
วันแล้ววันเล่าที่เราเอาแต่นั่งจ้องกำแพง รอให้พระอาทิตย์ตกดินไปวัน ๆ มัวแต่คิดถึงการนอนหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกชั่วชีวิต
แต่มัตสึอิ เรนะกำลังพยายามใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเต็มที่ บอกว่ารู้สึกสนุกกับทุกอย่างที่พบเจอ
มันทำให้เรารู้สึกละอาย
ความรู้สึกนี้หนักหน่วงยิ่งกว่าการที่ระลึกได้ซ้ำ ๆ ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรในทุกวันที่แกะยาfluoxetineกินหลังมื้อเช้า รู้สึกเหมือนโดนประจานว่าไม่ทำการบ้านสมัยเรียนประถมแน่ะ
เราจำความประทับใจจากละครเวที Majisuka Gakuen ที่เค้าแสดงได้ดี
พอเรารู้จักเค้า ได้เห็นเค้า ได้สัมผัสความพยายามอย่างเต็มที่ของเค้า
เราก็ตัดสินใจว่า เราจะพยายามมีชีวิตอยู่ จะพยายามสนุกกับชีวิตนี้เท่าที่ทำได้
ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะรู้สึกว่าเราเสียมารยาทต่อคนที่พยายามมีชีวิตอย่างเต็มที่ อย่างน้อยก็ในฐานะมนุษย์บนโลกเดียวกัน
ไม่ใช่เพื่อตัวเองก็ไม่เป็นไร ถ้าอย่างน้อยพ่อเราไม่เสียใจที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็โอเค
อาจจะเขียนจดหมายไปบอกรักไปขอบคุณเค้าสักฉบับ
คนที่ให้แรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ของเรา อย่างน้อย ๆ เราก็ควรขอบคุณเค้าสักคำ
ตอนนี้ก็ยังไม่หายดีหรอก คิดว่าอีกนานกว่าจะหาย วันนี้หมอถึงกับขู่ว่าถ้าไม่เผชิญหน้ากับมันจะหายรึเปล่า (ใจแป้วนิดนึง….) แต่จะพยายามให้หายเร็ว ๆ แล้วกัน รู้สึกไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน
วันนี้ลองเผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองผ่านการเขียนความรู้สึกเพ้อเจ้อพวกนี้แล้ว
พบว่า ก็ไม่ได้รู้สึกเลวร้ายอย่างที่กลัวนี่นา
เดี๋ยววันหลังจะลองทำอะไรอย่างอื่นดูบ้าง
ขอบคุณนะ มัตสึอิ เรนะ
2016-06-20 at 11:07 am
ในที่สุดก็นั่งอ่านจนมาเจอหัวเรื่องนี้… แปลกจังเรารู้สึกน้ำตาไหล อาการที่ว่ามาเกิดจากผลข้างเคียงของยาน่ะ เราจะไม่บอกหรอกนะว่าให้พยายามเพราะตอนนี้เราไม่มีสิทธิ์แนะนำอะไรใครทั้งนั้น ในอนาคตหมอแาจเพิ่มหนือลดปริมาณยาลงให้ แน่นอนว่ายารักษากลุ่มโรคนี้มีอยู่หลายสิบตัว แต่ส่วนมากหมอจะใช้เพียงไม่กี่ตัวแล้วอาศัยให้ในปริมาณมากๆเพื่อคุมอาการสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาเกินปกติให้เป็นปกติ พอทนกับอาการข้างเคียงได้ก็จะเริ่มปรับตัวได้ เราว่าโรคนี้น่ากลัวอยู่อย่างคือการไม่คิดหน้าคิดหลังจะทำอะไรลงไปโดยมารู้ตัวอีกทีก็ทำให้คนรอบข้างร้องไห้แล้ว แน่นอนว่ายาบางตัวจะไปกดประสาททำให้ง่วงซึม และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ไม่ได้อวดภูมินะแต่เราเคยป่วยเป็นภาวะซึมเศร้าและมันไม่หายขาดวันดีคืนดีมันก็จะเป็น (และคิดว่ามันกลับมาอีกแล้วสุดท้ายเลยให้มันพังลงมาหมดเลย ตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่จะไปคิดถึงมันแม้กระทั่งคนที่เราตามมาตลอด) แต่โรคนี้มันก็ดีกว่าSchizophrenia (โรคที่จอห์นแนชป่วย)
เป็นความคิดที่ดีนะที่จะลองเขียนเรื่องราวตัวเองเหมือนกับที่ชาลี (The Perks of Being A Wallflower) เขียนบันทึกชีวิตวัยรุ่นของตัวเองเหมือนเขียนจดหมาย
แต่ความทรงจำบางอย่างพอคิดถึงมันแล้วร้องไห้ก็สู้ไม่มีมันเลยจะดีกว่าถึงมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างก็เถอะ
หากหลับตาลงแล้วทุกอย่างหายไปหมดก็คงดี….
จะไม่พูดว่าโชคดีหรอกนะ แต่ก็ขอบคุณ…
さようなら
ถูกใจถูกใจ
2016-06-22 at 6:21 pm
ความในใจนี้ไม่รู้จะไปพูดกับใครหรือโพสที่ไหนเลยขอยืมพื้นที่ตรงนี้เล่าสู่กันฟัง เพราะสาเหตุมันอยู่ที่ตัวเรา แม้ขอโทษไปแล้วมิตรภาพคงไม่ย้อนกลับมาแต่จะทำให้มันถูกต้อง ที่ผ่านมาหลายเดือนคงเหนื่อยมาก ทนมาก และมีเรื่องให้ไม่สบายใจอยู่ตลอด ทั้งที่ก็พอรู้แต่ยังเอาอะไรไปยัดเหยียดให้อีก หมอบอกไม่ให้โทษตัวเอง โทษเขา โทษใคร และจะไม่โทษภาวะของโรคหรอก แต่ให้ยอมรับว่าผิดพลาดไปแล้วย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้
ตอนนั้นเพราะคิดเอาเองว่าเป็นอะไรคล้ายๆกันน่าจะเข้าใจอารมณ์แปรปรวน (ทึกทักเอาเองว่าคิด) แต่พอได้คุยกับคนที่ช่วยเราได้ก็รู้สึกโอเคขึ้น ก่อนจะมาหาหมอก็โทรไปที่ 1323 คุยกันเป็นชั่วโมง ใจเย็นมาก ใจดีมาก บลาๆ จำได้ประโยคที่ทำให้ร้องไห้ออกมาคือเขาไม่เป็นห่วงเราแต่พี่เป็นห่วง ไปหาหมอนะ มีอะไรก็โทรมาได้ 24 ชม. อาจไม่ใช่พี่รับแต่พี่คนอื่นก็ยินดีช่วย บ่ายของวันนี้ไปหาหมอที่นัดไว้
หมอ: ว่าไง
นี่: (หมอบ้าอะไรโคตรหน้าตาคิ้วเหมือนแฮรี่พอร์ตเตอร์ โอโม่สุดๆ) ยิ้มๆ แล้วก็เริ่มเล่าอาการ บลาๆ
หมอ: หมอจะยกตัวอย่างให้ฟังนะเหมือนหมอชอบสีฟ้าแล้วเราก็ชอบสีฟ้า พอวันหนึ่งหมอเลิกชอบแล้วเราจะเลิกชอบรึเปล่า
นี่: ไม่เพราะชอบสีฟ้าไม่ได้ชอบหมอ (แต่ในใจก็ชอบหมอแหละก็หล่อนี่)
หมอ: ถ้ายังงั้นสาเหตุมันอยู่ที่ไหนอยู่ที่สีฟ้าหรือตัวหมอ หมอยังมองไม่เห็นความเชื่อมโยงเลย
นี่: หมอคิดว่าเป็นคนพาลพาโลเปล่า
หมอ:แล้วคิดว่าตัวเองพาลรึเปล่าล่ะ
นี่: คิดว่ารู้สึกผิดมากกว่า เอาจริงๆพอเห็นอะไรที่เกี่ยวกับศิลปินคนนั้นแล้วคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำกับน้องคนนั้นอยู่ๆน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง เลยคิดว่าสู้ตัดใจเอาให้คนอื่นไปดีกว่า
หมอ: พอให้คนอื่นแล้วความรู้สึกเป็นยังไง
นี่: เหมือนเดิม
หมอ: อืม…สาเหตุมันอยู่ที่ไหน
นี่: มิตรภาพ… ถึงจะเป็นแค่คนรู้จักแต่มิตรภาพมันเสียไปแล้วอ่ะหมอ มันเอากลับคืนมาไม่ได้ แล้วทัศนคติเรามันไม่ตรงกันด้วย
หมอ: พี่ชายกับพี่สาวหมอยังทัศนคติไม่ตรงกันเลย มันอยู่ที่ว่าเขาหรือเราจะยอมรับมันได้แค่ไหน
นี่: หมอคิดว่านิสัยเหมือนเด็กมั้ย
หมอ: แค่เรากล้ามาหาหมอในวันนี่ก็ถือว่าโตมากแล้ว รู้จักรับผิดชอบตัวเอง ไม่ทำให้ใครเป็นห่วง
นี่: แต่จะทำยังไงความรู้สึกผิดมันก็ยังไม่ลบออกอ่ะ
หมอ: ขอโทษเขายังหรือว่าปากแข็ง
นี่: ขอโทษจนร้องไห้แล้วแต่คำตอบคือไม่ๆๆๆๆๆๆ ไม่มีโอกาสให้ ไม่มีทางให้เลือก ใครจะให้โอกาสคุณได้ จริงๆผิดเองแหละ ปกติเป็นคนพูดตรงแต่ดันพูดตรงในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจและดันพูดอ้อมในสิ่งที่ตรงกับใจ จนกลายเป็นทำให้เขารู้สึกว่าเราประชดประชัด หมอว่าเป็นไบโพลามั้ย
หมอ: หมอว่าเราติ๊งต๊อง(เห็นว่าหล่อเลยไม่โต้ตอบ) เปล่าๆ หมออยากให้เราหัวเราะแล้วทำไมคิดว่าเป็นไบโพล่า
นี่: อย่างที่บอกไปก่อนนั้นว่าอาการเครียดเศร้าซึม ไม่ค่อยอยากอาหารมาเป็นเดือนล่ะ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ คิดว่าน่าจะเครียดอย่างเดียว พอมาอาทิตย์ก่อนจนถึงเมื่อวันอาทิตย์แหละอยู่ๆมันก็ระเบิดออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยรู้สึกเหมือนเมื่อหกปีก่อนก็พุ่งเข้ามาทันที เลยแน่ใจว่าใช่ชัวร์เลยมาหาหมอนี้ล่ะ จริงๆแล้วน้องเขาเป็นคนดีมากเลยนะหมอ ที่ชอบเขาส่วนหนึ่งไม่ได้เกี่ยวกับศิลปินที่ชอบเลย ชอบที่น้องเขาเป็นตัวของตัวเอง มีความพยายาม มีความอดทน ออกไปทางชื่นชมปลาบปลื้ม ชอบในสิ่งที่เขาเขียน ชอบในสิ่งที่เขาเล่า บางทีเหมือนเด็กบางทีเหมือนผู้ใหญ่ จนไปเล่นสนุกกับความรู้สึกเขาเข้า มารู้ตัวอีกทีว่าสูญเสียสิ่งมีค่าไปก็จอนที่ “นับจากนี้เราจะเป็นแค่อดีตคนรู้จักกัน เพราะเหนื่อยไม่อยากรู้จักแล้ว” บลาๆ วินาทีนั้นมัยเหมือนโดนบอกเลิกเลยหมอ นึกถึงตอนที่ศิลปินคนนั้นบอกว่าจะไม่เป็นไอดอลแล้วแล้วเรายื่นร้องไห้อยู่กลางผับ เหมือนโดนทิ้งไว้ที่หน้าประตูทางเข้าคอนฯคนเดียวน่ะหมอ แล้วแล้วจะทำไง บัตรคอนจะจ้องอีกไม่กี่วัน ไม่โทษเขาหรอกต้องโทษตัวเองล้วนๆ คนที่ทำให้มิตรภาพมันล่มคือตัวเองไม่ใช่ใครอื่นเลย สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะหมอ
หมอ: หมอเข้าใจนะอารมณ์คนกำลังรู้สึกไม่ดี ต้องใช้เวลาให้เวลาเราให้เวลาเขา ส่วนเรื่องชอบศิลปินก็ชอบต่อไปเถอะเพราะถึงเราเอาของให้คนอื่นเราก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นกลับแย่ลงซะอีก บัตรคอนก็ให้คนอื่นช่วย…
นี่: ใครจะช่วยล่ะหมอเพื่อนเค้าทั้งนั้นรู้จักกันมาก่อนหลายปี กลัวเสียหน้า กลัวไปหมด
หมอ: ลองคุยรึยัง
นี่: (ส่ายหน้า)
หมอ: ที่ว่าแย่ที่สุดตอนนี้คืออะไร
นี่: เขาไม่คุยด้วย
หมอ: นั้นไงมันก็ไม่ต่างกันหรอกแค่ต้องเผื่อใจกับผลกระทบที่จะตามมา แค่ตอนนี้เราทำในสิ่งที่ควรทำรักตัวเอง
นี่: ก็เพราะรักตัวเองนี้แหละถึงโดนด่าว่าเห็นแก่ตัว
หมอ: ถ้าเราเห็นแก่ตัวจริงคงไม่รู้สึกผิด คงไม่รู้สึกอยากรับผิดชอบการกระทำของตัวเองหรอก แต่ตอนนี้ต้องรับปากกับหมอว่าจะดูแลตัวเอง ทานข้าวให้เป็นปกติ
นี่: แล้วควรทำไงต่อไป
หมอ: ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดถึงเขาไม่คุยกับเราทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นลองดูก่อน ไม่เสียหายอยู่แล้วนี้
นี่: แต่ถ้าเขาบล๊อกหรือแสปมล่ะหมอคนเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ เขาคงไม่แคร์เราหรอกเขาตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่รู้จัก ปานนี้คงนอนสบายใจไปแล้ว
หมอ: คิดแทนคนอื่นเก่งนะเรานะ เราไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไร จะอ่านหรือลบข้อความเรามั้ย แต่ปัญหาที่กวนใจเราไม่ใช่เรื่องศิลปินล่ะ แต่เป็นเรื่องเขา ที่นี่มันก็อยู่ที่ว่าเราจะจัดการความรู้สึกตรงนี้ยังไง ลองทำดูก่อนมันต้องใช้เวลา บลาๆๆๆ โอเคนะอาทิตย์หน้ามาหาหมอใหม่
นี่: คิดถึงเหรอ
หมอ: อืม… อยากเจอ เดี๋ยวหมอจ่ายยาไปให้ทานด้วย
ได้คุยกับหมอก็ดีขึ้นแหละแต่ได้คุยกับน้องคนนั้นน่าจะดีขึ้น จะพยายามกับมิตรภาพที่มันเป็นไปไม่ได้ แม้จะสูญเสียมันไปแล้วก็ตาม
ถูกใจถูกใจ